บทที่ 2 เสียง

บทที่ 2 เสียง
1. คลื่นเสียง (Sound waves)
คลื่นเสียงเกิดจากการสั่นสะเทือน  เช่น
- เคาะส้อมเสียง
- ตีกลอง
2. คลื่นการกระจัดและคลื่นความดัน
ไม่มีคลื่นเสียงผ่านเข้ามาในตัวกลาง  โมเลกุลของตัวกลางจะอยู่นิ่ง และมีระยะห่างระหว่างโมเลกุลเท่าๆกัน
- ขณะที่เสียงผ่านตัวกลาง  ทำให้โมเลกุลของตัวกลางนั้นสั่นในแนวขนานกับความเร็วเสียง

- ถ้ากำหนดให้
lโมเลกุลสั่นไปทางขวามีการกระจัด  =  + y
lโมเลกุลสั่นไปทางซ้ายมีการกระจัด  =  - y
กราฟการกระนัดของโมเลกุล เรียกว่า  คลื่นการกระจัด
บริเวณที่โมเลกุลสั่นเข้าหากัน เรียกว่า ส่วนอัด 
บริเวณที่โมเลกุลสั่นหนีจากกัน เรียกว่า ส่วนขยาย 
ระยะระหว่างส่วนขยาย-ส่วนขยาย ระยะระหว่างส่วนอัด-ส่วนอัด ความยาวคลื่น λ









3.อัตราเร็วเสียง

- อัตราเร็วเสียงในตัวกลางไม่เท่ากัน

- สมการคำนวณหาอัตราเร็วเสียงในอากาศได้

  V  =  331  +  0.6t  =  fλ

เมื่อ  คือ  อัตราเร็วเสียงในอากาศที่
อุณหภูมิ  0C  มีหน่วยเป็น m/s


l t  คือ  อัตราอุณหภูมิของอากาศ  มี
หน่วยเป็น  0C 

l f  คือ  ความถี่เสียง  มีหน่วยเป็น  Hz

l λ  คือ  ความยาวคลื่นเสียง  มีหน่วย

เป็น  m

4.สมบัติของคลื่นเสียง
4.1 การสะท้อนของคลื่นเสียง

ารสะท้อนเป็นไปตามกฎการสะท้อนของคลื่นอื่น ๆ  คือ
  
1. รังสีตกกระทบ เส้นปกติ รังสีสะท้อน  อยู่บนระนาบ
เดียวกัน
  
2. มุมตกกระทบ = มุมสะท้อน


1) เสียงสะท้อนกลับ (echo)
2) อัลทราซาวด์และการประยุกต์ใช้งาน

1. โซนาร์ (sonar)

2. อัลทราซาวด์ (ultrasound)

Sonar (sound navigation and ranging) มีความถี่ในช่วง 20,000 - 50,000 Hz 
 เช่น เสียงค้างคาว  สุนัข  ปลาโลมา  เป็นต้น


 
   







4.2  การหักเหของคลื่นเสียง 

คลื่นเสียงหักเหได้  เป็นไปตามกฎการหักเห เช่นเดียวกับคลื่นอื่น ๆ ดังนี้
กฎข้อที่ 1  รังสีตกกระทบ รังสีหักเห และเส้นปกติอยู่บนระนาบเดียวกัน
       กฎข้อที่ 2  เป็นไปตามกฎของสเนลล์         ดังนี้

4.3 การแทรกสอดของคลื่นเสียง

 1. ใช้แหล่งกำเนิดเสียงอาพันธ์ 2 แหล่ง

lS1P - S2P  =  nλ  ………..  antinode

lS1P - S2P  =  (n - ½ ) λ  ………..  node

ld  =  n (λ/2)  , เมื่อ  d  =  ระยะห่างระหว่าง S1S2

 2. ใช้แหล่งกำเนิดเสียง 1 แหล่งและตัวสะท้อนเสียง

การคำนวณเหมือนกับลำโพง 2 ตัวหันหน้าเข้าหากัน  นั่น

     คือ ใช้สมการ

d  =  n (λ/2)  ,
      
เมื่อ   เป็นจำนวนลูพในช่วงระยะ d  และ

  λ เป็นความยาวคลื่นเสียง

l เสียงเป็นคลื่นตามยาว  เกิดการแทรกสอดเช่นเดียวกับคลื่นอื่น ๆ ถ้ามีคลื่นอาพันธ์ 2 ขบวนรวมกัน
ได้คลื่นเสียงลัพธ์เป็นคลื่นนิ่ง โดยที่
จุดปฏิบัพ (antinode) จะมีเสียงดังที่สุด
จุดบัพ (node) จะมีเสียงเบาที่สุด

4.4 การสั่นพ้อง

 การสั่นพ้อง (resonance) หรือการกำทอน  คือ  การที่ระบบสั่นอย่างรุนแรงเมื่อมีความถี่ภายนอกที่เท่ากับความถี่ธรรมชาติของระบบมาใส่ให้ระบบนั้น  เช่น
 การสั่นของมวลที่ผูกติดกับปลายสปริง 
 การแกว่างของลูกตุ้มนาฬิกา 
คำนิยาม  ในกรณีที่มีความถี่ธรรมชาติหลายค่า
 1.ความถี่มูลฐาน (fundamental) คือ ความถี่ของเสียงต่ำสุดของความถี่ธรรมชาติ 
 2.ฮาร์มอนิกส์  (harmonics) คือ การสั่นที่มีความถี่เป็นจำนวนเต็มเท่าของความถี่มูลฐาน  เช่น  ถ้าให้ความถี่มูลฐานเป็น 50 รอบ/วินาที  ฮาร์โมนิกที่ 2  หมายความว่า มีความถี่เป็นสองเท่าของความถี่มูลฐาน คือ 100 รอบ/วินาที
 3. โอเวอร์โทน (overtone) คือ การสั่นที่มีความถี่สูงขึ้นจากความถี่มูลฐาน  โดยเป็นจำนวนเต็มเท่าความถี่มูลฐาน


4.5 การเลี้ยวเบนของคลื่นเสียง

 คลื่นเสียงจะเคลื่อนที่อ้อมสิ่งกีดขวางได้ เช่น เสียงจากลำโพงเมื่อผ่านขอบผนังห้องมีคลื่นเสียงบางส่วนเลี้ยวเบนอ้อมขอบผนังห้องได้

5. คลื่นเสียงกับการได้ยิน
ความถี่ของเสียงที่คนปกติได้ยิน f = 20-20,000 Hz
ความเข้มเสียงที่คนปกติได้ยิน   I  =   10-12 W/m  ถึง 1 W/m2
5.1 หูและการได้ยิน
หูคนเรามี 3 ส่วน  คือ
 1. หูส่วนนอก
 2. หูส่วนกลาง
 3. หูส่วนใน
หูมีกระดูก 3 ชิ้น  ได้แก่
 1. กระดูกค้อน
 2. กระดูกทั่ง
 3. กระดูกโกลน


 คนปกติได้ยินเสียงอยู่ในช่วงความถี่  20-20,000 Hz
 ถ้าใช้ความถี่เป็นเกณฑ์จะแบ่งระดับเสียง  (pitch)  ได้  2  ระดับ  คือ
 1. เสียงสูง หรือเสียงแหลม  (trebel)
 2. เสียงต่ำ หรือเสียงทุ้ม  (bass)
5.2 ความเข้มและความดังของเสียง
 คนปกติจะได้ยินเสียงที่มีความเข้ม  10-12 – 1 W/m2
 ความเข้มเสียงมีหน่วยเป็น เดซิเบล (decible : dB)
 ตั้งเป็นเกียรติกับ Alexander Graham Bell ผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์เป็นคนแรก

Alexander Graham Bell



ระดับความเข้มของเสียง


ความเข้มของเสียง
 ความเข้มของเสียง คือ กำลังเสียงที่ตกกระทบในแนวตั้งฉาก

กับพื้นที่ ของหน้าคลื่นของทรงกลม 

1 ตารางหน่วย  ความเข้มสูงสุดที่มนุษย์ ทนได้ คือ 1 

W/m2 

 I = ความเข้มเสียง มีหน่วยเป็น วัตต์/ตารางเมตร 

(W/m2)

 P = กำลัง มีหน่วยเป็น วัตต์ (W)

 R = ระยะห่างจากแหล่งกำเนิดเสียง (m)


 ระดับความเข้มของเสียง 


 I = ความเข้มของเสียง หน่วยเป็น W/m2

 I0 = ความเข้มของเสียงต่ำสุดที่คนเราจะได้ยิน 10-12 

W/m2 

 β = ระดับความเข้มเสียง หน่วยเป็น เดซิเบล (dB) 


6. การเกิดบีตส์
 บีตส์ (beats) เกิดจากการแทรกสอดของคลื่นเสียงที่มีความถี่ต่างกันไม่เกิน 7 Hertz
 ความถี่บีตส์ คือ จำนวนครั้งของเสียงดังที่ได้ยินใน 1 วินาที
 fb  =  f1 - f2  ;  fb = ความถี่บีตส์
 ความถี่บีตส์  หาได้จากผลต่างของความถี่ของคลื่นเสียงทั้งสอง
 ความถี่ที่หูได้ยิน  
 f1 , f2 = ความถี่ของคลื่นทั้งสอง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น